งานชิ้นที่ 5
โครงการวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้
1.ชื่อเรื่อง
การแก้ปัญหาการปรับตัวเข้ากับเพื่อนของนักเรียนความจำสั่นในห้องเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
2.ชื่อผู้วิจัย
นางสาวรุ่งทิพย์ คงเซ่ง
3.ปัญหาและสาเหตุ
โรงเรียนทุ่งสงวิทยาเป็นโรงเรียนขนาดกลาง มีนักเรียน 1000 กว่าคน จะมีทั้งนักเรียนที่เรียนเก่ง เรียนปานกลางและเรียนอ่อน ร่วมทั่งนักเรียนที่สมาธิสั้นและความจำสั้น ผู้วิจัยได้รับมอบหมายให้เป็นครูผู้สอนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 2 ห้องเรียน ประกอบด้วยนักเรียนทั้งหมด 60 คน เป็นนักเรียนชาย 21 คน นักเรียนหญิง 39 คน ในจำนวนนี้มีนักเรียนที่ความจำสั้นอยู่ด้วย 2 คน เป็นชาย 1 คน หญิง 1 คน เป็นผู้เรียนที่มีปัญหา ทำงานอะไรในห้องเรียนเพื่อนมักจะไม่ให้เข้ากลุ่ม เช่น เมื่อทำงานกลุ่มทุกครั้งเพื่อนจะไม่ยอมให้เข้ากลุ่ม สาเหตุมาจาก ธีรภาพเป็นคนที่ขี้ลืมต้องคอยถามอยู่ตลอดเวลาเพื่อนๆจึงเกิดความรำคาญ ส่วนศิริวรรณจะไม่พูดอะไรกับเพื่อนในห้อเลยจะทำงานคนเดียวและทำงานได้ช้ามากเพื่อนๆในห้องจึงไม่ยอมรับ 2 คน นี้เข้ากลุ่มเวลาทำงาน
4.วิธีแก้ไข
1.ในแต่ละคาบที่เข้าสอนจะมีกิจกรรมให้นักเรียนทำก่อนเรียน 10 นาที ซึ่งนักเรียนทั้งห้องจะต้องร่วมมือกันในการทำกิจกรรม ในช่วงแรกเพื่อนในห้องยังไม่ให้ธีรภาพและศิริวรรณเข้ามาร่วมในการทำกิจกรรมด้วยเพราะ 2 คนนี้ได้แต่ถามเพื่อนๆว่าเข้าให้ทำอะไรกิจกรรมที่ทำเลยไม่เสร็จแต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ทำกิจกรรมกันทุกคาบก่อนเรียนทำให้เพื่อนๆในห้องยอมรับ 2 คนนี้มากขึ้นคอยชี้แนะในการทำกิจกรรมให้ 2 คนนี้ได้รับรู้ก่อนลงมือทำกิจกรรม
2.เมื่อมีงานกลุ่มครูจะจัดกลุ่มให้นักเรียนเองโดยให้นักเรียน 2 คนนี้เข้ากลุ่มเพื่อนที่เรียนเก่งจากนั้นให้เพื่อนคอยย้ำคอยบอกเวลาครูสั่งงานให้ทำ
3.ครูจะจดงานหรือการบ้านขึ้นกระดานเพื่อให้นักเรียนได้จดลงในสมุดเรียนแล้วไปเปิดอ่านในสมุดงานของแต่ละคน
5.ผลการแก้ไข
ผลการแก้ไขพบว่าเมื่อเวลาผ่านไป ธีรภาพและศิริวรรณสามารถปรับตัวได้ดีขึ้นที่ละน้อยเพื่อนๆในห้องก็สามารถยอมรับธีรภาพและศิริวรรณได้มากขึ้น เมื่อให้ทำงานกลุ่มเพื่อนก็ให้ 2 คนนี้เข้ากลุ่ม และเมื่อครูสั่งงานก็ไม่มาถามมากเหมือนในตอนแรกๆและสามารถทำงานมาส่งได้ตามเวลาที่กำหนดให้ส่ง ซึ่งผู้วิจัยจะสั่งเกตุพฤตกรรมและคอยช่วยเหลือต่อไป
การแก้ปัญหาการปรับตัวเข้ากับเพื่อนของนักเรียนความจำสั่นในห้องเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
2.ชื่อผู้วิจัย
นางสาวรุ่งทิพย์ คงเซ่ง
3.ปัญหาและสาเหตุ
โรงเรียนทุ่งสงวิทยาเป็นโรงเรียนขนาดกลาง มีนักเรียน 1000 กว่าคน จะมีทั้งนักเรียนที่เรียนเก่ง เรียนปานกลางและเรียนอ่อน ร่วมทั่งนักเรียนที่สมาธิสั้นและความจำสั้น ผู้วิจัยได้รับมอบหมายให้เป็นครูผู้สอนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 2 ห้องเรียน ประกอบด้วยนักเรียนทั้งหมด 60 คน เป็นนักเรียนชาย 21 คน นักเรียนหญิง 39 คน ในจำนวนนี้มีนักเรียนที่ความจำสั้นอยู่ด้วย 2 คน เป็นชาย 1 คน หญิง 1 คน เป็นผู้เรียนที่มีปัญหา ทำงานอะไรในห้องเรียนเพื่อนมักจะไม่ให้เข้ากลุ่ม เช่น เมื่อทำงานกลุ่มทุกครั้งเพื่อนจะไม่ยอมให้เข้ากลุ่ม สาเหตุมาจาก ธีรภาพเป็นคนที่ขี้ลืมต้องคอยถามอยู่ตลอดเวลาเพื่อนๆจึงเกิดความรำคาญ ส่วนศิริวรรณจะไม่พูดอะไรกับเพื่อนในห้อเลยจะทำงานคนเดียวและทำงานได้ช้ามากเพื่อนๆในห้องจึงไม่ยอมรับ 2 คน นี้เข้ากลุ่มเวลาทำงาน
4.วิธีแก้ไข
1.ในแต่ละคาบที่เข้าสอนจะมีกิจกรรมให้นักเรียนทำก่อนเรียน 10 นาที ซึ่งนักเรียนทั้งห้องจะต้องร่วมมือกันในการทำกิจกรรม ในช่วงแรกเพื่อนในห้องยังไม่ให้ธีรภาพและศิริวรรณเข้ามาร่วมในการทำกิจกรรมด้วยเพราะ 2 คนนี้ได้แต่ถามเพื่อนๆว่าเข้าให้ทำอะไรกิจกรรมที่ทำเลยไม่เสร็จแต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ทำกิจกรรมกันทุกคาบก่อนเรียนทำให้เพื่อนๆในห้องยอมรับ 2 คนนี้มากขึ้นคอยชี้แนะในการทำกิจกรรมให้ 2 คนนี้ได้รับรู้ก่อนลงมือทำกิจกรรม
2.เมื่อมีงานกลุ่มครูจะจัดกลุ่มให้นักเรียนเองโดยให้นักเรียน 2 คนนี้เข้ากลุ่มเพื่อนที่เรียนเก่งจากนั้นให้เพื่อนคอยย้ำคอยบอกเวลาครูสั่งงานให้ทำ
3.ครูจะจดงานหรือการบ้านขึ้นกระดานเพื่อให้นักเรียนได้จดลงในสมุดเรียนแล้วไปเปิดอ่านในสมุดงานของแต่ละคน
5.ผลการแก้ไข
ผลการแก้ไขพบว่าเมื่อเวลาผ่านไป ธีรภาพและศิริวรรณสามารถปรับตัวได้ดีขึ้นที่ละน้อยเพื่อนๆในห้องก็สามารถยอมรับธีรภาพและศิริวรรณได้มากขึ้น เมื่อให้ทำงานกลุ่มเพื่อนก็ให้ 2 คนนี้เข้ากลุ่ม และเมื่อครูสั่งงานก็ไม่มาถามมากเหมือนในตอนแรกๆและสามารถทำงานมาส่งได้ตามเวลาที่กำหนดให้ส่ง ซึ่งผู้วิจัยจะสั่งเกตุพฤตกรรมและคอยช่วยเหลือต่อไป
.........................................................................................................................................................................................................................
1.ชื่อเรื่อง
การแก้ปัญหานักเรียนอ่านชื่อธาตุในตารางธาตุไม่ถูกต้อง
การแก้ปัญหานักเรียนอ่านชื่อธาตุในตารางธาตุไม่ถูกต้อง
2.ชื่อผู้วิจัย
นางสาวรุ่งทิพย์ คงเซ่ง
นางสาวรุ่งทิพย์ คงเซ่ง
3.ปัญหา
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
2/7 จำนวน 26
คน เป็นชาย 13 คน หญิง 13
คน อ่านชื่อธาตุใน
ตารางธาตุไม่ถูกต้อง
4.สาเหตุ
1.นักเรียนไม่เข้าใจสัญลักษณ์ของตารางธาตุ
2.นักเรียนไม่รู้ว่าเป็นชื่อธาตุอะไร
3.นักเรียนไม่เคยเห็นตารางธาตุมาก่อน
4.ครูที่เคยสอนมาไม่ได้เน้นให้อ่านชื่อธาตุ
5.นักเรียนบางคนอ่านหนังสือไม่ออก
5.วิธีการแก้ปัญหา
1.ครูเขียนชื่อธาตุหลัก 20
ธาตุแรกให้ในกระดานแล้วให้นักเรียนจดลงในสมุด
2.ให้นักเรียนหัดท่องธาตุก่อนเริ่มเรียนเรื่องธาตุ
3.ให้นักเรียนเขียนธาตุโดยไม่ต้องดูในสมุดที่จดไว้
4.ให้นักเรียนออกมาสอบท่องตารางธาตุที่ละคน
โดยไม่ต้องดูในสมุดที่จดไว้ และให้ท่องเรียง
ตามลำดับจากตัวที่ 1 ถึง ตัวที่ 20
6.ผลการแก้ไข
การแก้ปัญหานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
2/7 จำนวน 27
คน เป็นชาย 13 คน หญิง 13 คน
อ่านชื่อธาตุในตารางธาตุไม่ถูกต้องแล้วนำมาฝึกตามขั้นตอนนักเรียนสามารถท่องจำสัญลักษณ์ธาตุและชื่อธาตุในตารางธาตุ 20
ธาตุพื้นฐานได้ถูกต้องและมีความมั่นใจในการอ่านชื่อธาตุมากขึ้น แต่จะมีนักเรียน 1
คนที่ท่องจำธาตุ 20
ธาตุพื้นฐานไม่ได้
เนื่องจากเป็นเด็กที่อ่านหนังสือไม่ออกครูก็เลยให้โอกาศในการสอบท่องตารางธาตุมากกว่าคนอื่น
..............................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................
ภาคเรียนที่ 2
วิจัยชั้นเรียน
ชื่อเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และความสามารถด้านพหุปัญญาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนทุ่งสงวิทยา อำเภอทุ่งสง
จังหวัดนครศรีธรรมราช
ที่จัดการเรียนรู้แบบทฤษฏีพหุปัญญา
ผู้วิจัย นางสาวรุ่งทิพย์ คงเซ่ง
อาจารย์ที่ปรึษาวิจัย อาจารย์ธวัชชัย คงนุ่ม
ปริญญา คบ. สาขาวิชา
วิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัย มหาวิทยาราชภัฏนครศรีธรรมราช
ปีที่พิมพ์ 2555
บทคัดย่อ
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทฤษฎีพหุปัญญา
เป็นหนึ่งในรูปแบบวิธีการสอนที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการพัฒนาด้านสติปัญญาควบคู่ไปกับด้านจิตพิสัยของผู้เรียน
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย คือ ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน
ที่จัดการเรียนรู้แบบทฤษฏีพหุปัญญา และเพื่อศึกษาความสามารถด้านพหุปัญญาของผู้เรียน ที่จัดการเรียนรู้แบบทฤษฏีพหุปัญญา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนทุ่งสงวิทยา อำเภอทุ่งสง
จังหวัดนครศรีธรรมราช ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา
2555 สุ่มตัวอย่างนักเรียน 37 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด
ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ที่จัดการเรียนรู้แบบทฤษฏีพหุปัญญา เรื่อง
แสงกับการมองเห็น
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ที่จัดการเรียนรู้แบบทฤษฏีพหุปัญญา เรื่อง
แสงกับการมองเห็น และแบบประเมินความสามารถทางพหุปัญญา โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทุ่งสงวิทยา ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแบบทฤษฏีพหุปัญญา โดยใช้
t-test แบบ dependent Samples
และ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนทุ่งสงวิทยา หลังเรียนกับเกณฑ์คะแนนเฉลี่ย โดย ใช้
t-test แบบ one samples test
สรุปผลการศึกษาวิจัยได้ดังนี้
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เรื่องแสงกับการมองเห็น
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแบบทฤษฏีพหุปัญญาสูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้ตามตามแบบทฤษฏีพหุปัญญาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เรื่องแสงกับการมองเห็น นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแบบทฤษฏีพหุปัญญาสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3.ความสามารถด้านพหุปัญญาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแบบทฤษฏีพหุปัญญาสูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแบบทฤษฏีพหุปัญญาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เรื่องแสงกับการมองเห็น นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแบบทฤษฏีพหุปัญญาสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3.ความสามารถด้านพหุปัญญาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแบบทฤษฏีพหุปัญญาสูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแบบทฤษฏีพหุปัญญาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น